Author Topic: ..มาเตรียมตัวไปประเทศสหรัฐอเมริกากันเถอะ..  (Read 27248 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline เซนเซย์ PAN#50

  • AFSer Sophomore
  • *
  • Posts: 71
  • Gender: Female
  • 何を描く?
  • Exchange In: Panama
  • Generation: #50 (2011-2012)
Address ต้นฉบับ :
http://giggapooh2010.exteen.com/20100824/entry-1/page/1#lastcomment
ขออนุญาตนำมาเผยแพร่หน่อยนะคะ





เสื้อผ้า รองเท้า
       แม้เป็นของที่ดูแล้วไม่น่าจะหนักมากมาย  แต่ก็ทำให้คนน้ำหนักเกินมาเยอะแล้ว นอกเหนือจากเสื้อผ้าที่ต้องใส่ประจำแล้วที่จะแนะนำอันดับแรกเลยก็คือชุด ไทย1ชุดสำหรับงานเทศการไทยๆทั้งหลาย เพราะที่อเมริกาจะมีสมาคมคนไทย และวัดไทยอยู่มากมาย
สภาพภูมิอากาศของประเทศทั้งสองนี้มีฤดูอยู่ในช่วงเดียวกัน คือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว โดยรวมแล้วประเทศแคนนาดา ภาคเหนือจะมีอากาศหนาวเย็น ถึงเย็นจัด หิมะตก ในขณะที่ทางใต้จะเป็นเขตอบอุ่น มีอากาศ ชื้นทางชายฝั่งทั้งตะวันตกและตะวันออก ทั้งยังมีฝนตกในหน้าหนาวด้วย ช่วงที่อบอุ่นที่สุดคือ ระหว่างเดือน มิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม จะมีอุณหภูมิสูงกว่า 20 องศาเซลเซียส ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง ล้วนแต่เป็นช่วงที่น่าไปเยือน

       1. ฤดูใบไม้ร่วง ช่วง กันยายน – พฤศจิกายน  อากาศช่วงนี้จะเย็นลงเพราะเตรียมตัวจะเข้าหน้าหนาว สำหรับคนขี้หนาวก็จะเริ่มหาเสื้อแขนยาวมาใส่กัน ซึ่งก็อีกเหมือนกัน ที่นี่มีขายให้เลือกเพียบ ลายก็น่ารักๆ ถ้ามีอยู่แล้วที่บ้านก็เอาติดกระเป๋ามา แค่ 2-3 ตัวพอ ไม่หนักมาก แล้วที่เหลือก็มาซื้อที่นี่เอาได้

       2. ฤดูหนาว ประมาณช่วงเดือน   ธันวาคม – กุมภาพันธ์ อุณหภูมิ จะมีตั้งแต่ ติดลบ -40c  ถึง 7C  แล้วแต่ว่าเราจะอยู่ภาคไหนของประเทศ      ถ้าเป็นภาคตะวันออก (Eastern)รวมถึงตอนกลาง ( Central)  เมืองที่อยู่ในเขต EST คือ Boston, New York, Washington D.C., Miami Cleveland Chicago  และ New Orleans ซึ่งเสื้อผ้าที่ใส่ก็จะเป็น Overcoat หนาๆ  ถ้าเป็นแถบภูเขา (Mid- West) เมืองที่อยู่ใน เขตนี้ คือ Denver และ Phoenix  อากาศจะหนาวเย็นแต่ไม่ถึงกับติดลบ แต่ถึงอย่างไรเสื้อ  Overcoat  หนาๆก็ยังจำเป็นอยู่  พื้นที่ย่านมหาสมุทรแปซิฟิก (Pacific Time Zone)  เมืองที่อยู่ใน เขตนี้ คือSan Francisco, Seattle และ Hawaii  ตั้งแต่ Seattle ลงไปอากาศจะหนาวเย็นแต่ไม่ถึงกับติดลบ แต่คนอาจจะใส่ overcoat เพื่อความเท่ ก็ได้

      แต่ขอเตือนสำหรับน้องที่จะไป Seattle ที่นั่นฝนนึกจะตกเมื่อไรก็ตก ไม่ขึ้นอยู่กับหน้าอะไรทั้งสิ้น เค้าว่ากันว่าบางปีตกนานถึง 11 เดือนทีเดียว เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับที่นี่ คือ Rain Jacket หรือร่ม (ร่มของเมืองไทยไม่ต้องเอามานะ ต้านทานลมไม่อยู่หรอก)

       Rain Jacket  สามารถหาซื้อได้ที่เมืองไทยเพราะของพวกนี้เค้าผลิตในเมืองไทยก็มี อย่างเช่น Northface, Jack Wolfskin หรือ Columbia นะ หาซื้อได้ตามศูนย์ส่งออก หรือ Outlet ไม่แพงมาก และไม่หนา ไม่กินเนื้อที่ในกระเป๋า

รองเท้ากันหิมะ ค่อยมาเลือกซื้อที่นี่จะมีคุณภาพและกันความหนาวเย็นได้ดีกว่า
Overcoat  ไม่แนะนำให้ซื้อมาจากเมืองไทย เพราะที่นั่นมีขายเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นของแบรนด์เนมหรือไม่มีชื่อคุณภาพก็ดีมาก ประเทศนี้มีOutletเสื้อผ้าราคาถูกอยู่ทั่วเมื่อง เลือกได้สบาย ราคาพอกับเมืองไทยหรืออาจจะถูกกว่าด้วยซ้ำ

       3. ฤดูใบไม้ผลิ  มีนาคม – พฤษภาคม อากาศช่วงนี้จะอุ่น หน้านี้ใส่ประมาณ Jumper และ Jacket ซึ่งก็อีกเหมือนกัน ที่นี่มีขายให้เลือกเพียบ ลายก็น่ารักๆ แนะนำว่าเอามาจากไทย แค่ 2-3 ตัวพอ แล้วที่เหลือก็มาซื้อที่นี่เอาได้

       4. ฤดูร้อน ช่วงมิถุนายน – สิงหาคม หน้าร้อนที่นี่จะร้อนพอกับเมืองไทย บางวันร้อนก็มาก ชนิดที่ว่าใส่เสื้อกล้ามหรือสายเดี่ยวได้สบาย ให้เอามาจากเมืองไทยก็ดี เพราะบ้านเราเสื้อผ้าหน้าร้อนราคาไม่แพง แถมสวยกว่าด้วย และไม่กินเนื้อที่มาก พวกกางเกงขาสั้นเสื้อกล้าม เอาไปด้วย เพราะที่นี่แพงมาก
where i'm i ?

Offline เซนเซย์ PAN#50

  • AFSer Sophomore
  • *
  • Posts: 71
  • Gender: Female
  • 何を描く?
  • Exchange In: Panama
  • Generation: #50 (2011-2012)
คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ควรจะนำไปด้วยมีดังนี้

    * สติคเกอร์ไทย (ถ้าจะซื้อ notebook ที่ต่างประเทศ)
    * ถ้ายังไม่มี notebook และคิดจะซื้อ ขอแนะนำให้มาซื้อที่นี่จะถูกกว่าเมืองไทย(มาก) มาถึงแล้ว ลองไปดูที่ Circuit City หรีอ Bestbuy เลย จะมี deal ลดราคาอยู่เสมอ พอลดแล้วจะถูกกว่าเมืองไทย คิดแล้วก็หลายพันบาทเลยทีเดียว ในบางช่วง ที่ Circuit City ถ้าซื้อโน้ตบุ้ค(บางยี่ห้อ) แล้วเค้าก็จะให้ Printer แถมมาฟรีด้วย (ในรูปแบบการ rebate จ่ายตังค์ไปก่อน แล้วจะได้เงินคืนทีหลัง) ดังนั้น ซื้อโน้ตบุ้คที่ USA จะได้ราคาถูกกว่าและคุ้มค่ากว่าด้วย ดังนั้นอุปกรณ์คอมพ์ต่างๆ ถ้ายังไม่มีก็ไปซื้อที่เมกาจะถูกและคุณภาพดีกว่า รวมไปถึงการเคลมระหว่างประกันด้วย
    * USB wireless mouse สำหรับต่อ notebook อันที่จริง ราคาปกติของมัน ก็แพงเอาเรื่องอยู่ แต่ก็อีกเช่นเคย มันลดราคาบ่อยมาก มักจะเหลือแค่ $10 (หลังจาก rebate)ในหนึ่งเดือน ต้องมีอย่างน้อย 1 สโตร์ ที่เอาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ตัวนี้ มาลดราคา
    * สายต่อพรินท์เตอร์แบบ USB (ที่เค้าเรียกอย่างเป็นทางการว่า A to B USB cable) เป็นสายที่เอาไว้เชื่อมต่อ พรินท์เตอร์ เข้ากับเครื่องคอม เวลาซื้อ printer ที่นี่ เค้าจะไม่แถมสายนี้มาให้ แล้วพอไปซื้อแยก จะแพงมากเลย เท่าที่เห็นมีขายในสโตร์ที่นี่ มันจะเป็นของมียี่ห้อ แพ็คมาอย่างดี อย่างต่ำก็ประมาณ 3-4 ร้อยบาทไทยเห็นจะได้ ทั้งๆที่ตามพันทิพ มีสายดำๆกิ๊กก๊อกๆไม่มียี่ห้อ แต่ใช้ได้เหมือนกัน ใส่กระบะวางขายอยู่แค่ ไม่กี่สิบบาท เตรียมมาสักนิดก็จะช่วย save เงินไปได้อีกหน่อย

เอาเป็นว่าเรื่องคอมพิวเตอร์ สำหรับคนที่จะมาอเมริกา คุณไม่ต้องเตรียมคอมฯ มาจากเมืองไทยถ้าคุณมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

          o พอจะมีความรู้เรื่องการเลือกซื้อคอมฯ การลงโปรแกรม และการ set up เครื่อง หรือเป็นเซียนคอมฯอยู่แล้ว
          o กำลังจะมาอยู่เมืองใหญ่ หรือเมืองที่เดินทางไปไหนมาไหนสะดวกสบายตั้งแต่มาถึงใหม่ๆ
          o ถ้าไม่ได้มาอยู่เมืองใหญ่ แต่ตอนมาถึง มีญาติหรือมีเพื่อนคอยtake care พาไปไหนต่อไหนได้

หากขาดข้อใดข้อหนึ่งไป ก็เตรียมมาจากเมืองไทยเลยก็แล้วกัน

    * Talking Dictionary อันนี้ ถ้าใครมีอยู่แล้ว หรือ คิดว่าจะซื้อ แนะนำว่า มีประโยชน์มาก เพราะช่วยให้ทำรายงาน หรืออ่านหนังสือง่ายขึ้น และเร็วกว่าเปิดดิกแบบหนังสือ  ถ้าได้รุ่นที่ ออกเสียงภาษาอังกฤษได้ ก็ยิ่งดีเลย จะช่วยให้เราออกเสียงถูกต้อง ออกเสียงตามมันบ่อยๆ แต่หากว่า หาซื้อไม่ทัน ก็ไม่เป็นไรนะคะ  เอาดิกอังกฤษ-ไทย, ไทย-อังกฤษ ไปด้วย

ของใช้ส่วนตัว

    * หวี และกระจกเล็ก
    * ชุดตัดเล็บ
    * ชุดเย็บผ้าแบบอันเล็ก เอามาเผื่ออะไรขาดจะได้ซ่อมได้
    * ถ้าสายตาสั้น เอา contact lense กับน้ำยามาด้วยให้ครบปี ที่นี่แพงแบบทำเลซิกได้เลย ถ้าโดยทั่วไป หนึ่งปีจะใช้น้ำยา 4 ขวด

รายการในหมวดนี้แนะนำให้มาซื้อที่ USA

    * ยาสีฟันและแปรงสีฟัน ที่นี่แพงแต่คุณภาพดีกว่าบ้านเรามาก ขอแนะนำ ยี่ห้อ CREST ใช้ดีมาก
    * แป้งธรรมดา และแป้งเด็ก แชมพู ครีมนวดผม สบู่ โลชั่น ครีม เครื่องประทินโฉมอื่น ๆ  มีทั้งคุณภาพเท่ากับบ้านเราและที่ดีกว่า ถ้าไงก็ลองไปดูพวกแชมพู ที่เป็น Organic หรือที่ร้านTrader Joe's ส่วนตัวแล้ว คิดว่าสินค้าพวกสบู่ แชมพู อะไรประมาณนี้ที่อเมริกา คุณภาพดีกว่าบ้านเรา ราคาก็ถูกกว่าด้วย
    * กระเป๋าต่างๆ นี่แล้วแต่ตาม style ส่วนบุคคลนะ แต่มาซื้อที่นี่ จะได้ของน่ารักๆ ไม่แพงมาก

อันนี้ลับเฉพาะคุณสภาพสตรี ถามกันมามากเหลือเกิน …. ผ้าอนามัยควรเอามามั้ย ตอบได้เลยว่าที่นี่มันแพงกว่าก็จริง แต่ราคาที่แพงกว่าแล้ว ก็ยังคุ้มกว่าที่จะแบกทั้งหมดมาจากไทย ให้เอามาแค่พอใช้


ครัว & ห้องน้ำ & เครื่องนอน
หมวดเครื่องครัว มาซื้อที่นี่ได้หมด แต่เอาติดไม้ติดมือมา นิดหน่อย ไว้สำหรับช่วงแรก ส่วนหลังๆ ก็ไปซื้อเอาได้ ตามเอเชี่ยนซุปเปอร์มาเก็ต ราคาไม่แพง  ปลาร้า กะปิ พริกแกงไม่ต้องขนมา ที่อเมริกามีขายไม่แพงถ้าจะขนมาให้ เดี๋ยวแตกบนเครื่อง ขายหน้า แต่ที่แนะนำ คือ ครก เอาอันเล็กก็ได้ เมื่อไหร่ทิ่คิดถึงน้ำพริกกะปิ จะหาว่าไม่เตือนกัน ส่วนเครื่องนอน และของใช้ในหอ้งน้ำ ทั้งหลายสามารถหาซื้อในราคาย่อมเยาได้ที่ “Walmart, Big Kmart,ที่อเมริกาไม่มีหมอนข้าง หายังไงก็หาไม่เจอ อยากได้หมอนข้าง ต้องเอามาเอง

การเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา จะเอาอาหารติดตัวมาด้วยได้หรือไม่
 หาคำตอบได้ที่นี่ (คำตอบที่จะได้ต่อไปนี้จะไม่รวมในส่วนของการส่งอาหารมาที่อเมริกาในรูปแบบของพัสดุไปรษณีย์ หรือวิธีการอื่นๆ)

    * ผักและผลไม้หลายชนิด อาจจะจัดอยู่ในกลุ่มของผลิตภัณฑ์ต้องห้ามสำหรับนำเข้าอเมริกา หรือไม่ก็อยู่ในกลุ่มของผลิตภัณฑ์ที่อาจจะนำเข้าได้ แต่ต้องมีใบอนุญาตหรือรับรองความปลอดภัยจากประเทศต้นกำเนิดของพืชผักและผล ไม้นั้นๆ ด้วย

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่นำพืชผักและผลไม้ทั้งสองกลุ่มเข้ามาจะต้องแจ้งแก่เจ้าหน้าที่หน่วย กักกันพืช (CBP Officer ) ด้วยทุกครั้ง และหากเจ้าหน้าที่มีความประสงค์จะขอตรวจดู เราต้องอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ตรวจทุกครั้งไป
โทษของการไม่แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ว่าเรานำอาหารติดตัวเข้ามาในประเทศอเมริกา ด้วยหากเจ้าหน้าที่ตรวจพบ คือ ต้องเสียค่าปรับ จำนวน 10,000 เหรียญสหรัฐฯ

    * ผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อ ทั้งเนื้อหมู เนื้อวัว และสัตว์ปีกต่างๆ อาจจะจัดอยู่ในประเภททั้งที่เป็นผลิตภัณฑ์ต้องห้ามสำหรับนำเข้าและผลิตภัณฑ์ จำกัดการนำเข้า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสภาพเชื้อโรคของสัตว์ในประเทศต้นกำเนิด

ผลิตภัณฑ์เนื้อสดๆ แบบที่ยังไม่ผ่านการปรุงแต่งจากประเทศส่วนใหญ่ ตามปกติแล้วจะเป็นผลิตภัณฑ์ต้องห้ามสำหรับการนำเข้า

ผลิตภัณฑ์เนื้อตากแห้ง เนื้อที่ผ่านการปรุงแต่งถนอมอาหาร หรือเนื้อที่บรรจุอยู่ในกระป๋อง จากบางประเทศ จัดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีข้อจำกัดทางการนำเข้าที่เข้มงวด

    * ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ลูกอม ช็อคโกแล็ต และชีสที่ผ่านกรรมวิธีการเก็บรักษาแล้ว โดยปกติจะสามารถนำเข้าอเมริกาได้

อาหารกระป๋อง หรืออาหารที่บรรจุหีบห่อด้วยวิธีสูญญากาศ ( ซึ่งต้องไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ หรือสัตว์ปีกต่างๆ ) สามารถนำเข้าได้ แต่ต้องเป็นการนำเข้าเพื่อเอาไปบริโภคเป็นการส่วนตัวเท่านั้น

    * ผลิตภัณฑ์ประเภทนมเนยต่างๆ เช่น นม โยเกิร์ต เนย สามารถนำเข้าได้ แต่เงื่อนไขนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับการเกิดการระบาดของโรคในช่วง เวลานั้นๆ

ถึงแม้จะเกิดการระบาดบ่อยครั้งของโรคไข้หวัดนก แต่ "ไข่" ก็ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่อาจจะนำเข้าได้ ชีสแบบแข็ง เช่น Parmesan, Cheddar สามารถนำเข้าได้ แต่ชีสแบบอ่อนตัวหรือแบบเหลวไม่สามารถนำเข้าได้ เช่น Brie, Ricotta, Feta ฯลฯ

    * ผลิตภัณฑ์ปลา สามารถนำเข้าได้ ถ้าเพื่อบริโภคเป็นการส่วนตัว
    * เครื่องปรุงประกอบอาหารต่างๆ สามารถนำเข้าได้ เช่น น้ำมัน, น้ำส้มสายชู, มัสตาร์ด, ซอสมะเขือเทศ, ของหมักดอง, น้ำเชื่อม, น้ำผึ้ง, เยลลี่, แยม ฯลฯ

where i'm i ?

Offline เซนเซย์ PAN#50

  • AFSer Sophomore
  • *
  • Posts: 71
  • Gender: Female
  • 何を描く?
  • Exchange In: Panama
  • Generation: #50 (2011-2012)
สอบถามเรื่องการเตรียมตัวไป (อยู่ - เรียน) ซานฟรานซิสโก USA (San Francisco)

กำลังจะเดินทางไปเรียนที่ ซานฟรานซิสโก อยู่แถวๆ market street ตรงกลางๆซานฟรานเลยอะ อยากถามว่าต้องเตรียมตัวเรื่องข้าวของที่จะต้องเอาไปยังไงบ้างคะ
1. เสื้อผ้า : อากาศในหนึ่งรอบปีเป็นอย่างไรคะ หน้าร้อนร้อนขนาดไหน ฝนตกบ่อยไม๊ เสื้อยืดเกงยีน หรือสามส่วนขาสั้นได้เหมือนเมืองไทยไม๊คะ แล้วหน้าหนาวที่หนาวสุดอุณหภูมิเป็นยังไงคะ เสื้อหนาวต้องเตรียมไปขนาดไหน แจ๊กเก็ต หรือต้องหาโค้ทไป คือเป็นคนขี้หนาวด้วยค่ะ แต่ขนไปก็กลัวจะเยอะแยะค่ะ
2. ของใช้อะไรบ้างที่น่าจะเตรียมตัวไปจากเมืองไทย ถุงนอน ผ้าห่ม ผ้าปู หรือ อะไรต่อมิอะไรบ้างคะ คอนแทคเลนส์ น้ำยา หรือ ใดๆ
3. รองเท้าผ้าใบ คัชชู ถุงเท้า ถุงมือ ยังไงดีอะคะ
ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ ไปเรียนแล้วไปอยู่กับ host family ที่นู่นค่ะ ไม่มีข้อมูลเท่าไหร่เลย อยากจะเตรียมตัวให้ดีก่อนไปค่ะ ขอบคุณมากๆๆๆนะคะ

ซานฟรานจะหนาวตลอดปีค่ะ แทบเรียกได้ว่าไม่มีช่วงซัมเมอร์เลย จะมีอากาศอุ่นๆอยู่ประมาณสองสามวันได้ ปกติคนที่นี่จะใส่สเวตเตอร์ตลอด อยู่ในร่มจะหนาว เลยต้องพยายามอยู่ในแดด ยิ่งเพิ่งมาใหม่อาจจะไม่คุ้นกับอากาศจะรู้สึกหนาวกว่าชาวบ้าน ส่วนหน้าหนาวใส่ถุงมือก็ช่วยได้เยอะ ซานฟรานไม่มีหิมะ เลยไม่ได้หนาวจัดจัด แต่ก็หนาวในระดับที่ใส่ถุงมือได้ ขาสั้นเนี่ยต้องแข็งแรงหน่อยถึงจะได้ได้ เพราะซานฟรานก็ลมแรงพอสมควร ฝนก็ไม่ได้ตกชุกเหมือนซีแอทเทิล ก็เอาร่มมาเผื่อใช้ รองเท้าควรจะเป็นแบบไม่มีส้น เพราะเมืองเป็นเนิน ถ้าไม่มีรถก็ต้องเดินเยอะหน่อย ผ้าใบก็ใส่สบายดี แต่ก็เอาแบบมีส้นสวยๆเตรียมเผื่อออกงานฉุกเฉินได้ ส่วนที่อยู่นั้นถ้าอยู่กับแฟมิลี่ก็คงไม่ต้องเตรียมอะไรมาก เค้าคงมีพวกเตียงอะไรให้พร้อม ส่วนพวกจิปาถะอื่นๆ ของใช้ประจำวันควรเตรียมมาให้หมด จะได้มีใช้ทันที ถ้าหมดค่อยหาซื้อใหม่ที่นี่ น้ำยาคอนแทคบ้านเราจะแถมเคสมาให้ ที่นี่ต้องซื้อแยก แล้วแพงด้วย ถ้าคิดออกมากกว่านี้แล้วจะมาตอบใหม่นะจ๊ะ

อ้อ ถ้าให้ดีก็ถ่ายสำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ใบขับขี่ไทย มาด้วยก็ดี กันเหนียว เผื่อวันดีคืนดีต้องใช้ แบบพาสปอร์ตหมดอายุกระทันหันต้องต่อ จะได้มาต่อที่นี่ได้

หวาดดีคร้าบ ผู้อ่านที่อุตส่าห์มาอ่านของเรา เราส่งเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ถ้าไม่ดีอย่างไรต้องขออภัยด้วยนะคร้าบ เนื่องจากเป็นเรื่องแรก เราเลยขอเล่าประสบการณ์จากการเรียนที่อเมริกาแล้วกัน แต่ขอเล่าเรื่องไปเที่ยวดีกว่า เดี๋ยวจะหลับกานหมดดดดดดดด เราเป็นผู้โชคดีคนหนึ่งที่มีเงินพอจาไปอเมริกาได้ แต่ก็ไม่โชคดีพอจะไปได้ทั้งประเทศคร้าบ คงไปได้แค่เเถวๆตะวันตกคร้าบ นั่นก็คือ รัฐ California (แคริฟอร์เนีย) รัฐนี้มีที่น่าเที่ยวเยอะมากๆๆๆๆๆ ได้แก่ 1. เมือง San Francisco (ซานฟรานซิสโก) ที่นี้จะมีสะพานโกเด้นเกท (Golden Gate Bridge) ที่มีสีแดงสดใส ใกล้ๆที่บริเวณเกาะกลางทะเล ก็คือ คุก Alcazas คุกนี้เคยขึ้นชื่อว่าเป็นคุกที่หนีอยากที่สุดในโลก เพราะ มีทะเลล้อมรอบอยู่คร้าบ แถมระบบป้องกันเป็นเยี่ยม แต่................... ก็มีคนสามารถหนีออกมาได้คร้าบ คุกนี้เลยร้างแล้ว ที่นี้ยังมีรถราง (Cable Car) ที่นั่งจากบริเวณ Market Street ไปยัง Fisherman Wraft ที่นี่มีอาหารทะเลหลายร้านติดกันเป็นพืด เพราะ อยู่ใกล้ทะเลคร้าบ ที่ Market Street ก็คงเป็นสวรรค์ของคนรักการช้อปปิ้งคร้าบ มีร้านค้าหลายร้านมากทั้ง Blue, Chap, Old navy, Victoria secret และ อื่นๆอีกมากมายนับไม่ถ้วน ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่น่าอยู่มากที่เดียวคร้าบ มีอากาศที่เย็นสบายตลอดปี เพราะ เป็นภูมิประเทศเป็นภูเขาคร้าบ อากาศที่นี้ไม่ต้องติดแอร์หรือติดฮีตเตอร์คร้าบ เย็นสบายกำลังดี แต่คนไทยอาจจะคิดว่าหนาวไปนิดมั้งคะ บ้านที่นี่เลยต้องตั้งแบบหน้าบ้านเอียงคร้าบ เพราะ ส่วนใหญ่มีแต่ภูเขาคร้าบ เมืองนี้น่าอยู่มากทีเดียว 2. เมือง San Diego (ซานดีเอโก) ที่นี้มีสถานที่ที่ทุกคนต้องไปคร้าบ คือ Sea World ที่ซีเวิร์ลก็จะมีการแสดงของสัตว์น้ำมากมายคร้าบ ไม่ว่าจะเป็น ปลาวาฬวิลลี่ เค้าเรียกกันว่า ปลาวาฬ Shamu คร้าบ ชามู น่ารักดี หรือจะการโชว์สิงโตทะเล กับ แมวน้ำ และ ปลาโลมาคร้าบ สัตว์พวกนี้น่ารักมากๆ และยังมีสัตว์ขั้วโลกด้วยคร้าบ ที่โซน Wild Arctic ยังมีหนัง Semulator ให้ดูกันด้วย และยังมี นกเพนกวิน น่ารักมากๆ และ หมีขั้วโลก หรือ Polar Bear และ ปลาวาฬเผือกให้ดูอีกด้วยคร้าบ และอีกที่นึงที่ดังหลุดโลกก็คือ San Diego Zoo ที่นี้เขามีสัตว์ที่เมืองไทยไม่มีอย่างเช่น Tree Kangaroo หรือ จิงโจ้ต้นไม้คร้าบ แล้หมีโคล่า ส่วนที่เหลือเมืองไทยก็มี แต่สวนสัตว์เขาใหญ่มากคร้าบ ยังมีหมีแพนด้าด้วย แต่ที่นี่มันมีลูกแล้ว 1 ตัวคร้าบ เมืองไทยเพิ่งได้มาเลยยังไม่มีลูก อีกที่นึง ที่ไม่ไปก็คงต้องไปถึงยุโรปเชียวคร้าบ คือ Lego Land ที่นี้ชื่อก็บอกแล้วว่าคือเลโก้ ทุกอย่างในนี้เลยไปเลโก้หมด ไม่ว่า เรือ รถ รถไฟ รถไฟเหาะ หรือ สัตว์ต่างๆที่เหมือนจริงมาก และ ยังมีเมืองจำลองด้วยคร้าบ ที่จำลองสิ่งสำคัญของอเมริกาไว้ ด้วยตัวต่อเลโก้คร้าบ แต่ทีนี้เราไม่ได้ไป เพราะ แพงมากๆๆๆๆๆ พอๆกับดิสนีย์แลนด์เลย แถมเข้าไปแล้วยังต้องเสียเงินค่าเล่นเครื่องเล่นอีก ไม่ได้เสียธรรมดา แต่ต้องแลกเป็น เหรียญเลโก้ ที่อัตราสูงมากคร้าบ ใครอยากไปไปที่ยุโรปดีกว่า จะได้ถูกหน่อย 3. เมือง Anaheim และ Orange County อ่านว่า อา-นา-ฮาม คร้าบ กับ ออ-เรนจ์-เคาน์-ตี้ ที่นี้มีดิสนีย์แลนด์คร้าบ สวนสนุกในฝันของทุกคน ที่ดิสนีย์แลนด์นอกจากจะมีบ้านของตัวการ์ตูนดิสนีย์และสวนสนุกแล้ว ยังมี เทคโนโลยีที่ทันสมัยมากมายเต็มไปหมด และยังมี It\'s small world เครื่องเล่นที่เป็นการนั่งเรือเข้าไปในปราสาทแล้วเรา จะได้พบกับตุ๊กตาชาติต่างๆเต็มไปหมดคร้าบ ทุกชาติล้วนแต่ร้องรำเพลงอย่างสนุกสนาน ด้วยเพลง it\'s small world ที่นี้เป็นสวรรค์ของเด็กๆเลยคร้าบ แถมหน้าปราสาทยังมีนาฬิกาที่จะตีทุก 15 นาทีคร้าบ แล้วก็จะมีตุ๊กตาชาติต่างๆออกมาคร้าบ พร้อมกับมีเพลง it\'s small world ด้วย ใครที่มาแล้วไม่ได้นั่งเรือชมก็เรียกว่ามาไม่ถึงคร้าบ คิวนรี้ยาวมากๆๆๆๆๆๆๆ ส่วนอีกทีคือ Knott Berry Farm ที่นี้ก็เป็นสวนสนุกคร้าบ แต่เป็นของชาวฟาร์ม ก็ใหญ่เหมือนกันคร้าบ และทีนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ริบลี่ด้วยคร้าบ 4. เมือง Hollywood ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าที่นี้คือเมืองแห่งความบันเทิงครบรสคร้าบ ทีนี้มีโรงถ่ายหนังมากมาย และยังมีถนนฮอลลีวู้ด ให้เดือนตามรอยเท้าดาราด้วยคร้าบ ทีนี้มีโรงถ่ายเยอะก็จริง แต่คนจะไปเฉพาะ Universal Studio คร้าบ เพราะ เขามีสตูดิโอทัวร์ ให้ไปดูการทำเอฟเฟคต่างๆคร้าบ อย่างเรื่อง Dawn of the dead ก็มาจาก Universal นะคร้าบ แถวๆฮอลลีวู้ดก็มี Santa Monica ที่มี Six Flag สวนสนุกทีมาจากรัฐ Texas ที่นี้มีแต่ เครื่องเล่นหวาดเสียวคร้าบ คนแก่ไม่ควรไป 5. เมือง Las Vegas เมืองแห่งการพนัน เมืองนี้ตอนกลางคืนคือเมืองแห่งอบายมุขคร้าบ เลยไม่ไป แต่ก็มี แต่คาสิโน กับ โชว์ผู้หญิงคร้าบ ส่วนอีกทีที่ไปคือรัฐ Texas คร้าบ ไปเยี่ยมญาติ ที่นี้มีได้ไป 2 ที่คร้าบ คือ Houston กับ Dallas Ft.Worth ที่ฮิวส์ทั่นมีสถานีอวกาศของนาซ่าคร้าบ อย่างอพอลโล 13 ก็ส่งวิทยุมาที่นี้แหละคร้าบ ยังมีพิพิธภัณฑ์วิทย์อีกเยอะด้วย ส่วนที่ Dallas ก็มีสำคัญ คือ Six Flag ที่นี้คือต้นตำรับคร้าบ นอกจากสวนสนุกแล้ว ทีนี้ยังมีสวนน้ำด้วยคร้าบ เป็นสวนน้ำที่มีเครื่องเล่นน่าหวาดเสียวเช่นกัน และที่ Ft.Worth ยังเป็นที่ที่ John F. Kennedy ถูกสังหารด้วย ที่บริเวณ ฮิวสทั่นสตรีทคร้าบ เขามีพิพิธภัณฑ์ให้ดูด้วย แล้วเราก็โชคดีที่คุณญาติพาเราไปกินข้าวเที่ยงบนโรงแรม Hyatt สิ่งบนยอดเป็นรูปลูกกอล์ฟคร้าบ เราเลยเห็นวิวสวยๆทั้ง Ft.Worth เลยคร้าบ ส่วนอีกรัฐที่ได้ไป คือ Utah เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่และคุณน้า จบที่ยูทาห์กันหมดเลยคร้าบ ที่นี้เป็นเมืองแห่งการสกี มีหิมะตกหนักทีเดียว อากาศค่อนข้างหนาว ในช่วงใกล้เข้าใบไม้ผลิช่วงมีนายังมีอุณหภูมิถึง -11 องศาเชียว โอ้ หนาวมากคร้าบ และที่นี้ยังมี อุทยานแห่งชาติหลายที่มากๆ ที่นึงเรียกว่า สะพานสายรุ้ง เป็นหินที่โดนกัดเซาะจนเป็นรูปวงกลมคร้าบ สวยมากทีเดียว ส่วนอีกที่มีน้ำพุเก่า พอมันพุ่งขึ้นที คนก็มัวแต่แย่งกันถ่ายรูปใหญ่เลยคร้าบ ทีนี้มีแร่เยอะจนน้ำแยกเป็นชั้นหลายสีเลยคร้าบ ถึงแม้หลายคนจะใฝ่ฝันที่อยากไปอเมริกา เพราะ ไฮเทคมากกว่าเมืองไทย แต่ยังไงเมืองไทยค่าครองชีพตำกว่านะคร้าบ ถ้าไปทีนั่นต้องเข้าร้าน Dollar Tree คร้าบ ไม่งั้นไม่ต้องซื้อของเลยคร้าบ เพราะ ร้านนี้ของทุกอย่าง 1 ดอลลาร์คร้าบ หรือประมาณ 40 บาทเองคร้าบ ส่วนข้าว ก็ต้องไม่ขี้งกคร้าบ ไม่งั้นไม่ต้องกินข้าวสักมื้อเลย ยังไงก็ขอขอบคุณที่อ่านอุตส่าห์ทนอ่านถึงนี้ ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคร้าบ ผิดพลาดตรงไหนก็ขออภัยด้วย ช่วยให้ความคิดเห็นด้วยคร้าบ ใครอยากไปเที่ยวอเมริกา ก็ควรเก็บเงินเยอะๆเลยนะ


ไม่ว่าจะเป็นบทเพลง "I Left My Heart in San Francisco" ที่ขับร้องโดยคุณปู่ Tony Bennett หรือบทเพลง "San Francisco" ที่ขับร้องโดยคุณทวด Jeanette MacDonald ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง "San Francisco" ที่เธอนำแสดงคู่กับพระเอกรุ่นบรมครู Clark Gable หรือบทเพลงรุ่นหลังอย่างเพลง "San Francisco Days" ของ Chris Isaak บทเพลง "San Francisco" ด้วยเสียงหวานๆ ของสาวน้อย Vanessa Carlton และอีกหลายบทเพลงที่ไม่ได้กล่าวถึงในที่นี้... แม้จะแตกต่างกันที่ท่วงทำนองและเนื้อร้อง แต่ทุกเพลงล้วนเป็นบทเพลงที่แสดงถึงมนตร์เสน่ห์ของเมืองซานฟรานซิสโกที่มี อยู่ในหัวใจของคนทุกรุ่นทุกสมัย


ซานฟรานซิสโก ขึ้นชื่อว่าเป็น "City by the Bay" ตั้งอยู่ริมชายฝั่งตะวันตกในมลรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกา โอบล้อมด้วยผืนน้ำถึง 3 ด้าน ด้านตะวันตก ติดมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันออกติดอ่าวซานฟรานซิสโก ส่วนด้านเหนือติดช่องแคบโกลเด้นเกท เมืองซานฟรานซิสโกมีรูปร่างเกือบเหมือนสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก มีพื้นที่เพียง 121 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น ทั้งยังขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองเต็มไปด้วยเนินลาดชันกว่า 40 เนิน เนินที่สูงที่สุดคือ Mount Davidson ที่มีความสูงถึง 925 ฟุต

การที่มีลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้ ทำให้สภาพอากาศแตกต่างกันในบางพื้นที่ แต่โดยรวมเป็นภูมิอากาศที่เย็นสบายๆ จนถูกขนานนามว่าเป็นเมืองติดแอร์ (The Air-Conditioned City) มีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีที่ประมาณ 15 องศาโดยอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 20 องศาเซลเซียสไปถึงต่ำสุดเฉลี่ยประมาณ 7 องศา ซึ่งเป็นลักษณะภูมิอากาศคล้ายกับชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนที่มีฤดูกาลหลักๆ 2 ฤดูคือ "wet" และ "dry" โดยประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคมเป็นช่วงที่มีปริมาณน้ำฝนมากที่สุด ของปี

จากสภาพอากาศที่มีความชื้นสูงทำให้ "หมอก" กลายเป็นเอกลักษณ์เด่นของซานฟรานซิสโก ซึ่งช่วงหน้าร้อนหมอกจะหนามากในตอนเช้า ส่วนหน้าหนาวบางวันจะมีหมอกเกือบตลอดทั้งวัน ส่วนในเดือนอื่นๆ อากาศค่อนข้างสบาย เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่สามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี พื้นที่ซานฟรานซิสโกยังครอบคลุมเกาะเล็กเกาะน้อยอีก 19 เกาะ ได้แก่ เกาะ Alcatraz เกาะ Treasure เกาะ Yerba Buena และบางส่วนของเกาะ Alamenda เกาะ Angel และเกาะ Red rock เป็นต้น จากตัวเลขสำมะโนประชากรเมื่อปี 2000 ซานฟรานซิสโกมีประชากรประมาณ 776,733 คน

จากหลักฐานทางโบราณคดีจารึกว่า ชาว Ohlone (ออกเสียง โอ-โลน-อี หรือ oh-lone-ee) หมายถึง คนตะวันตก (Western People) เป็นชาวเนทีฟอเมริกัน (Native American) ชนเผ่าดั้งเดิมที่ตั้งรกรากอยู่บนผืนดินแถบตะวันตกของอเมริกา รวมทั้งซานฟรานซิสโกในปัจจุบัน เป็นเวลานานนับตั้งแต่ 3,000 ปีก่อนคริสตศักราช ก่อนที่กองทัพสเปนจะเข้ามารุกรานดินแดนในแถบนี้เมื่อปี 1769 อย่างบังเอิญที่ว่าบังเอิญนั้นเนื่องจากเป้าหมายแรกของสเปนอยู่ที่อ่าวมอนเท อเรย์ (Monterey bay) ต่อมาในปี 1776 สเปนเริ่มขยายอาณาจักรคาทอลิก ด้วยการสร้าง "Mission San Francisco de Asis" หรือ "Mission Dolores" ซึ่งตั้งชื่อตามนักบุญ St.Francis of Assisi ถือเป็นโบสถ์คาทอลิกแห่งที่หกในแคลิฟอร์เนีย จากที่มีทั้งหมด 21 แห่ง พร้อมกับสร้างหมู่บ้านรอบๆ เขตนั้นเพียงไม่กี่ปีต่อมา ดินแดนนี้เต็มไปด้วยมิชชันนารีผู้ออกปฏิบัติการสอนศาสนา แทรกแซงความเชื่อและประเพณีดั้งเดิมของชาวท้องถิ่น Ohlone ปัจจุบันมิชชั่นแห่งนี้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญที่เก่าแก่ที่สุดใน ประวัติศาสตร์ของซานฟรานซิสโกที่ยังคงหลงเหลืออยู่

นอกจากนี้กองทัพสเปนยังสร้างเขต Presidio ที่อยู่ทางตอนใต้ของโกลเด้นเกท ให้เป็นที่ตั้งของฐานทัพด้วย โดยปัจจุบันเขตนี้กลายเป็นอุทยานแห่งชาติของสหรัฐฯ จากอาคารที่เคยเป็นที่พักของทหารผ่านศึก ปัจจุบันถูกบูรณะเป็นบ้านพักระดับหรู โดยพื้นที่ส่วนหนึ่งของอุทยานฯ มี George Lucas เป็นผู้ชนะการประมูล และสร้างเป็นอาณาจักร Lucus Film เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่บริษัท Industrial Light and Magic และบริษัท LucasArts

ในปี 1821 ดินแดนแห่งนี้เป็นอิสระจากสเปน แต่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเม็กซิโก นำโดยชาวอังกฤษสัญชาติเม็กซิกัน นามว่า William Richardson พร้อมด้วย Francisco de Haro ผู้พิพากษา คนแรก ประกาศก่อตั้งดินแดนแห่งนี้โดยให้ชื่อว่า "Yerba Buena" เป็นภาษาสเปน หมายถึง "สมุนไพรดี" (Good Herb) เป็นเหตุให้อาณาจักรอเมริกันเริ่มมีความสนใจในการ ครอบครองดินแดนแถบนี้จนก่อให้เกิดสงครามเม็กซิกัน-อเมริกัน และในวันที่ 7 กรกฎาคม 1846 นาวาเอกพิเศษ John D. Sloat นำกำลังนาวิกโยธินเข้ายึดครองแคลิฟอร์เนีย ประกาศเป็นรัฐที่ 34 ของสหรัฐอเมริกา และอีก 2 ปีต่อมา นาวาเอก John B. Montgomery ประกาศยึดเมือง Yerba Buena และเปลี่ยนชื่อเป็น "San Francisco" นับตั้งแต่ปี 1849 เป็นต้นมา
where i'm i ?

Offline {happyn}USA#49♪

  • AFSer Senior
  • *
  • Posts: 328
  • Gender: Female
  • Dallas,TX
    • My Facebook
  • Exchange In: United States
  • Generation: #49 (2010-2011)
น่าจะย้ายกระทู้ไปห้องArticles (:
ยังไงก็ตามควรจะศึกษาถึงสภาพแวดล้อมทั้งหมดของที่ที่ตัวเองจะไปอยู่ก่อนตัดสินใจจัดของนะจ๊ะ :D

ป.ล. น่าจะเอาหมวดไปเรียนต่อซานฟรานออกนะ ให้ไปอ่านเอาเองในเว็ปที่เอามา มันลายตามากจ้า
มีไม่กี่คนในรุ่นที่จะได้ไปซานฟรานหรอก ;) พี่ว่ามันเยอะไป.. แต่เยอะๆอาจจะดูยิ่งใหญ่ก็ได้เน๊อะ = ="
« Last Edit: August 25, 2010, 01:41:10 PM by {happyn}USA#49♪ »
i❤american field service
oneyearisnotthatlong
❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

Offline Hin USA~MO

  • AFSer Honor Graduate
  • *
  • Posts: 1581
  • Gender: Male
  • USA~IAH#48
  • Exchange In: United States
  • Generation: #48 (2009-2010)
Denver Phoenix อากาศไม่ติดลบ ??

คือว่ามันหนาวนานกว่าที่อื่นเลยนะ แถวนั้นอ่า
ปีที่แล้ว หิมะ ตกเป็นเดือน ถึงเดือน เมษา มันยังตกอยู่เลย
USA#48 Bus3 Independence,Missouri

มงฟอร์ตวิทยาลัยแผนกมัธยม,เชียงใหม่-->Truman High School

Offline Tew_USA

  • AFSer Sophomore
  • *
  • Posts: 92
  • Gender: Male
  • พี่คนโตไป usa พี่คนกลางไป usa น้องคนนี้ก็ไป usa
    • My Facebook
  • Exchange In: United States
  • Generation: No
ว้าว ยังไม่ได้ไปยังเตรียมตัวดีจริงๆ ยอดๆ
JUst SmIle

kelso high school,WA

Offline Oopsy Daisyy.

  • AFSer Novice
  • *
  • Posts: 9
  • Gender: Female
  • Queer as folk :D
  • Exchange In: United States
  • Generation: #50 (2011-2012)
มาเก็บข้อมูล ขอบคุณค่ะ   :laugh:
Dorena , OR ( :
Canyon High School.

Offline ชเว ไป เมกา #50

  • AFSer Junior
  • *
  • Posts: 106
  • Gender: Female
  • เห่ เห้ ชิกาบูม
    • My Facebook
  • Exchange In: United States
  • Generation: #50 (2011-2012)
ตื่นเต้นอยากไปแล้ว 55
Sometimes we all need a little help.