เปิดดูในเด็กดีอ้ะ
4 เดือน เปลี่ยน 4 โฮสท์
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ชาวเด็กดี ชื่อเอริ เรียกสั้นๆ ว่า "ริ" ก็ได้ค่ะ อายุ 17 ปี ตอนนี้มาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น โรงเรียนคานากะวะ โซโกะ ริมาแลกเปลี่ยนเป็นระยะเวลาประมาณ 10 เดือนเหมือนเด็กม.ปลายส่วนใหญ่นั่นแหละค่ะ เรื่องที่ริจะเล่าวันนี้ก็คือ ประสบการณ์การเปลี่ยนโฮสท์แฟมิลี่ 3 ครั้งในระยะเวลา 4 เดือน (ที่อยู่ด้วยตอนนี้เป็นโฮสท์ที่ 4 แล้วค่ะ) เป็นประสบการณ์ที่ยากเย็นแสนเข็ญ แต่ริก็ผ่านมันมาแล้ว เลยอยากเอามาเล่าให้เพื่อนได้อ่านกันค่ะ ตัวริเองถือว่าได้โฮสท์แฟมิลี่ช้าคือก่อนบินเวลาประมาณ 1 เดือน แต่ในตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะได้ฟังประสบการณ์จากรุ่นพี่ร่วมโครงการว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่หาโฮสท์แฟมิลี่ค่อนข้างยาก
4 เดือน เปลี่ยน 4 โฮสท์แฟมิลี่ !! กับ เอริจัง ณ ญี่ปุ่น
บ้านที่ 1
โฮสท์แฟมิลี่บ้านแรก คุณพ่อเป็นหมอฟัน คุณแม่เป็นแม่บ้าน มีลูกชายสองคน คนโตไปแลกเปลี่ยนอยู่ที่อเมริกา อ้อ เมืองที่ริไปตอนแรกสุดคือ เมืองคานางะวะ (神奈川県) เขตซูชิ (逗子市) ค่ะ ก็ลองเซิร์ชในกูเกิ้ลด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ ว่าเมืองนี้มันอยู่ตรงไหนของประเทศ สรุปก็คืออยู่ติดโตเกียวค่ะ ก่อนเดินทางไปญี่ปุ่น ริก็โทรศัพท์ไปหาเค้า ขอบคุณเค้าที่รับเราอะไรแบบนี้ แล้วหลังจากนั้นก็ส่งอีเมลคุยกัน เค้าก็น่ารัก ภาษาอังกฤษก็สำเนียงดี เพราะโฮสท์ที่เป็นแม่เคยไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกามา ตอนนั้นก็รู้สึกดีใจที่ได้โฮสท์แฟมิลี่ดี
บ้านที่อยู่เป็นบ้านสองชั้น ชั้นล่างเป็นร้านหมอฟัน
ชั้นบนเป็นบ้าน ช่วงแรกๆ ที่ไปถึงยังไม่เปิดเทอมค่ะ พอ
เปิดเทอมก็ไปเรียน ได้เพื่อนใหม่เยอะเหมือนกัน เพราะ
ตารางเป็นแบบเดินเรียน แต่ละคาบก็จะเจอเพื่อนไม่
เหมือนเดิม แต่โรงเรียนที่เรียนเป็นโรงเรียนเด็กเก่ง เค้า
ก็จะไม่ได้มาสนใจว่าริเป็นเด็กแลกเปลี่ยน เค้าก็เฉยๆ
เพราะหน้าตาเราก็เอเชียทั่วไป มันไม่ได้มีความแตก
ต่างอะไรมากมาย ที่โรงเรียนมีชมรมด้วยค่ะ ริก็เข้า
คลับเกาหลี เพราะริชอบ Super Junior ริก็เลยเข้า
คลับเรื่อยๆ จนได้เพื่อนกลุ่มเดียวกัน เป็นคนญี่ปุ่น 2
คน และ คนเกาหลี 1 คน
แล้วปัญหาระหว่างริกับโฮสท์ก็เกิดขึ้น คือ โฮสท์
ชอบเอาริไปเปรียบเทียบกับนักเรียนแลกเปลี่ยนคน
อื่น คือโฮสท์เค้าเป็นอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่น แบบ
เป็นอาสาสมัครสอนคนต่างชาติ เค้าก็มีโอกาสได้
สอนนักเรียนจากออสเตรเลีย เค้าชอบมาบอกว่า
แอนนา (คนออสเตรเลีย) เก่งมากเลยนะ แล้วก็
ชอบถามริว่า รู้มั้ยว่าคำนี้ภาษาญี่ปุ่นคืออะไร พอริ
ไม่รู้ เค้าก็จะพูดว่า เนี่ยแอนนายังรู้เลยนะ ทำไมริ
ไม่รู้ล่ะ เหตุการณ์นี้มีบ่อยมากๆ จนเกิดอาการ
นอยโฮสท์
จนเวลาผ่านไปสองเดือน ริได้รับโทรศัพท์จากผู้ดูแลโครงการว่า จะต้องย้ายโฮสท์ เพราะว่าลูกชายเค้าที่ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกาจะกลับมาแล้ว เราก็โอเครับทราบ แล้วพอถามว่าแล้วจะย้ายไปที่ไหน เค้าก็บอกว่ายังไม่รู้ ถ้ารู้แล้วจะรีบบอก ริก็แบบ อ้าว จะย้ายอาทิตย์หน้าแล้วยังไม่รู้อีกหรอ อีกอย่างที่ไม่เข้าใจก็คือ ตอนแรกสุดที่ได้ข้อมูลจากโครงการที่เมืองไทย ในเอกสารระบุไว้ว่า เป็น ”ครอบครัวถาวร” ก็เลยเสียความรู้สึกมากว่าทำไมเป็นแบบนี้ โฮสท์แม่ก็บอกว่า โฮสท์แม่เป็นคนบอกโครงการไม่ให้บอกริเอง แล้วอีกอย่างมันเป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ไม่ควรบอก ริก็งงๆ เพราะเหมือนเค้าโกหกมากกว่า ริก็รอลุ้นว่าต้องย้ายไปที่ไหน สรุปก็ต้องย้ายไปโยโกฮาม่าค่ะ ก็จากกับโฮสท์แบบเหมือนยังมีอะไรติดค้างในใจกันนิดนึง
บ้านที่ 2
โฮสท์ที่สอง เป็นแม่ม่ายกับลูกสาวอายุ 28 ปี ครอบครัวนี้ก็ดีค่ะ สบายๆ มีอะไรก็คุยกันได้ แต่ได้อยู่แค่ประมาณเดือนเดียวเพราะรินอนที่ห้องพักแขก แล้วเดือนถัดไปจะมีแขกมาพักที่บ้าน ริก็เข้าใจเค้า ถึงแม้จะเป็นแค่เดือนเดียวแต่ก็รู้สึกขอบคุณที่เค้ารับเรามาอยู่ด้วย มีวันนึงที่โฮสท์ไม่อยู่บ้าน ริก็เลยไปนอนบ้านคุณตาคุณยายที่เป็นเพื่อนบ้านที่สนิท คุณตาคุณยายก็พูดเกริ่นๆ ว่า เดี๋ยวริต้องย้ายจากบ้านนั้นมาอยู่บ้านนี้นะ แต่ลึกๆ ริไม่ค่อยอยากย้ายมาบ้านนี้เท่าไหร่ เลยนั่งคุยกับเพื่อนที่สนิทกันในชมรม เพื่อนคนญี่ปุ่นคนนึงบอกว่า มาอยู่บ้านเราก็ได้นะ ริก็ดีใจมากและในที่สุดก็ได้ไปอยู่บ้านนั้นจริงๆ
บ้านที่ 3
ก่อนวันย้ายไปบ้านเพื่อน ริก็ได้นั่งคุยกับพ่อแม่เพื่อน ก็
รู้สึกถูกคอมาก เพราะคุยแล้วสนุก ความเห็นตรงกัน
สองสามวันแรกที่อยู่ก็สนุกดีค่ะ แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ
ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป เพื่อนของริเค้าฉลาดแล้วอ่าน
หนังสือเยอะมากๆๆ เลยไม่ค่อยได้คุยกัน ไปโรงเรียนก็ยิ่งไม่
ได้คุยกันใหญ่ ส่วนกับโฮสท์พ่อแม่ ยิ่งคุยก็ยิ่งความเห็นไม่
ตรงกัน เริ่มเลยเถิด ยิ่งคุยก็เหมือนไม่ชอบหน้ากัน กลายเป็น
ว่าริทำอะไรก็ไม่ดีหมด ช่วงนั้นเกิดอาการ Homesick
มากๆ ไม่มีความสุขเลย จนวันหนึ่งเค้าก็เรียกริไปคุยแล้ว
บอกว่า "จะให้ย้ายออก สาเหตุคือไม่ชอบริ ถ้าอยู่ไป
นานๆ เค้าอาจจะเกลียดริได้ เพราะริดูไม่ค่อยตั้งใจ
เรียน ไม่ค่อยอ่านหนังสือที่บ้าน ริควรจะกลับไทยไปซะ
คงอยู่ญี่ปุ่นไม่ได้หรอก"
ได้ยินตอนแรกนี่อึ้งเลยค่ะ เพราะริว่าริก็อ่านนะ หนังสือเป็น
ลังๆ เลย แต่ถ้าเทียบกับเพื่อนแล้ว ริคงจะอ่านน้อยกว่าจริงๆ
ก็แอบทำใจไว้แล้ว เพราะตอนอยู่บ้านแรกก็เจอเหตุการณ์
คล้ายๆ แบบนี้มาแล้ว เลยตัดสินใจว่า เดี๋ยวกลับไปอยู่บ้าน
คุณตาคุณยายดีกว่า คงจะสบายใจกว่านี้
ส่วนเพื่อนคนนั้นก็ห่างกันไปเลยค่ะ พอริมีปัญหากันเค้า
ริก็พลอยห่างจากเพื่อนในกลุ่มคนอื่นๆ ไปด้วย ตอนนั้นไม่มีคนคุยด้วยเลย เหมือนโดนเพื่อนทิ้ง มีอยู่ช่วงนึงร้องไห้หนักมาก คิดถึงแม่มากๆ ร้องไห้เหมือนคนบ้าเลย ตอนนี้ก็เริ่มดีขึ้นแล้วค่ะเพราะริเข้าชมรมวอลเล่ย์บอล ซ้อมค่อนข้างหนัก แต่ก็ดีตรงที่ไม่ฟุ้งซ่านเพราะยังมีอะไรให้ทำ
บ้านที่ 4
ส่วนตอนนี้ริก็อยู่บ้านคุณตาคุณยายค่ะ ที่บ้านไม่มีอะไรให้ทำเลย อินเตอร์เน็ตก็ไม่มี แต่ก็สบายใจมากๆ เพราะคุณตาคุณยายแข็งแรงแล้วก็ใจดีมากๆ ช่วงนี้ที่ญี่ปุ่นเป็นหน้าร้อน ร้อนแบบแดดเปรี้ยงๆ เหนียวตัว ทรมานกว่าเมืองไทยเยอะเลยค่ะ
สุดท้าย ฝากถึงใครก็ตามที่คิดจะไปแลกเปลี่ยน ถึงจะเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้สู้นะคะ เพราะว่ามันจะทำให้เราโตขึ้นแล้วก็เข้มแข็งขึ้นจริงๆ ปีนี้อาจจะไม่ใช่ปีที่ดีที่สุดในชีวิต แต่เป็นปีที่สอนอะไรริมากที่สุดในชีวิตเลย ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ รักประเทศไทยที่สุดเลย
***อันนี้ใครอยากอ่านก็ลองอ่านดู สนุกดี